[แชร์ประสบการณ์] เป็น Software engineer ที่ SCB 10X

Witchayut Pepe Jongpattanasombut
5 min readMay 28, 2021

--

เดือนนี้เป็นเดือนที่เราผ่านการสมัครงานมาครบปีพอดี (เดือนพฤษภา — พรีเซนท์โปรเจคจบตอนปี 4 เป็นงานสุดท้ายแล้วก็เรียนจบแบบ Official) เลยถือโอกาสนึกย้อนกลับไปว่า 1 ปีที่ผ่านมา มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตการทำงานบ้าง

ช่วงสมัครงาน

เดือนพฤษภาปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เรียนจบพอดีใช่มะ Topic ที่เรากับเพื่อน ๆ คุยกันก็จะมีแต่เรื่องหาที่ทำงาน Fulltime ยังไง? จะเลือกที่ไหนดี? ตอนแรกเราอยากทำงานบริษัทต่างชาติบริษัทนึง ถึงขนาดนัดคุย Offline กับ Tech lead บริษัทนั้น เตรียม Resume เตรียม Cover letter สมัครไปเรียบร้อย ได้ข้อสอบกลับมาทำ ทำข้อสอบส่งไปแล้วก็รอผล รอนัดสัมภาษณ์ … สรุปเจอ Covid จ้าาา เลื่อนการรับสมัครพนักงานใหม่แบบไม่มีกำหนด ผิดแผนนน 5555555555555

ช่วงนั้นพยายามนั่งนึกว่าตัวเองรู้จักบริษัทอะไรอีกบ้าง แล้วจะสมัครที่ไหนต่อดี ซึ่งก็มี Criteria ประมาณนึง (ก็คือ Covid แล้วยังเรื่องมากอยู่ 😂)

  1. อยากได้บริษัทที่ให้เงินเดือนค่อนข้างดี — เรื่องเงินเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ขอที่ที่ให้เหมาะสมกับสกิลที่เรามีตามที่เรารู้สึกอะนะ
  2. อยากได้บริษัทที่จะได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง — ถ้าไม่ได้ความรู้อะไรใหม่ อย่างน้อยก็ต้องได้พวก Soft skill บ้างอะไรบ้าง
  3. อยากได้บริษัทที่ Culture ดี — การเมืองน้อย, เรามีสิทธิตัดสินใจในตัวงาน, ไม่ทำงานตามสั่งอย่างเดียว

ตอนแรกไม่ได้คิดว่า 10X จะเป็นช็อยอะไรเพราะคิดว่าน่าจะเป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่น่าจะตรงกับ Criteria ของเราเท่าไร แต่พอดีว่ามีเพื่อนสนิทเราที่เข้าไปทำงาน แล้วรีวิวให้เราฟังค่อนข้างดี ก็เลยลองสมัครไปดู ตอนนั้นเราส่ง Resume เข้าไปผ่านเพื่อนสนิท แบบ..ส่งผ่านแช็ทเฟสบุ๊คไปเลย ตัว Resume ที่ส่งไปก็เขียนพวก ประสบการณ์การทำงาน, กิจกรรมต่าง ๆ , Tech stack ที่เราใช้ อะไรพวกนี้ แล้วก็ได้นัดสัมภาษณ์

ตอนที่สัมภาษณ์ตอนนั้นเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ มีพูดคุยทั่วไปแล้วก็ให้เราทำโจทย์ ตอนนั้นโจทย์ที่ได้คือ มี Code frontend ที่มีบัคอยู่มาให้ แล้วก็ให้เราหาบัค แก้บัค แล้วก็เติม feature ลงไปตามลำดับ ไม่ได้ยากเท่าไร กับอีกข้อนึงคือ ถ้าเราจะทำระบบขึ้นมาระบบนึงที่มี requirement ตามที่ลิสต์ไว้ เราจะเลือกใช้ tools อะไร วาง database ยังไงบ้าง แล้วก็จะค่อย ๆ ขยาย feature ไปเรื่อย เราก็คอยตอบว่าถ้าเพิ่มแบบนี้จะปรับยังไง ข้อนี้ยากเหมือนกัน รู้สึกว่าต้องรู้กว้าง ๆ มีเหตุผลแน่น ๆ ว่าทำไมเลือกอันนี้ไม่เลือกอันนี้ ทำไมทำแบบนี้ไม่ทำแบบนี้ แต่ก็พอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ (ตอนนี้โจทย์สัมภาษณ์ไม่เหมือนเดิมละ แบบเดิมใช้เวลาตอนสัมภาษณ์เยอะเกิน เพราะต้องคิดสด ทำสด) ก็ผ่านตอนสัมภาษณ์มาได้ด้วยดี

หลังจากสัมภาษณ์เรื่อง Technical เสร็จ ก็มีคุยกับ Head ทีม มีคุยกับ HR แล้วก็นัดวันเริ่มงาน ตอนนั้นตัดสินใจเริ่มงานเป็น 1 กรกฎา มี Gap ประมาณเดือนนึงให้เคลียร์งานอื่น ๆ ที่ยังค้างอยู่ (งาน Freelance, งาน Part-time, งานที่ Lab มหาลัย, etc.)

ช่วงเริ่มทำงาน

ตอนนั้น SCB 10X ยังทำงานกันอยู่ที่ SCB Park (ปัจจุบันย้ายมาที่ FYI Center) วันแรกไปถึง SCB Park ตอน 9 โมงครึ่ง .. แล้วไม่รู้ต้องไปชั้นไหนยังไง ก็ทักไปหาเพื่อน สรุปว่ายังไม่มีใครมา ต้องเดินเล่นอยู่ชั้นล่างรอ555555555 จนประมาณ 10 โมงมีพี่คนนึงเดินมาทักแล้วก็พาขึ้นตึกไป มารู้ทีหลังว่าทีมมี Stand up meeting ตอน 10 โมงครึ่ง คนส่วนใหญ่จะไปถึงกันใกล้ ๆ เวลา Stand up พอดี

ทีมที่เราไปจอยชื่อทีม Venture builder เป็นทีมที่ทำ Product ของตัวเองแล้ว Spin-off ตัว Product ที่เราทำออกไปเป็นบริษัทลูก ในทีมก็จะมีหลาย Product ที่ทำ Parallel กันไป คนในทีมไม่เยอะเท่าไร ตอนนั้นมีประมาณ 20 กว่าคนได้ รวมทุกตำแหน่งแล้ว ทั้ง Product owner, Marketing, Developer, Designer แล้วคนทั้งหมดนั้นก็จะแบ่งไปอยู่แต่ละ Product ที่ทีมทำ ช่วงไหนที่ Product ไหนต้องการคนเยอะก็จะเทคนไปทำเยอะหน่อย มีการทำ Resource Planning กันทุกวีคว่า Product ไหนจะใช้คนเท่าไร

Product แรกที่เราไปทำเป็น Product ที่ใช้แก้ปัญหาการจัดการตัวแทนจำหน่ายของ Brand ต่าง ๆ หลังจาก Onboard กับ PO (Product owner) แล้วว่าสิ่งที่กำลังทำคืออะไร ก็มา Onboard ส่วน Code ต่อ ก็เป็น React, Nodejs, Typescript, Firebase ซึ่งเป็น Stack ที่ใช้ประจำอยู่แล้วเลยไม่ได้มีปัญหาอะไร Dev ที่ดู Product นี้รวมเราแล้วมี 3 คน ค่อนข้างใช้คนน้อยอยู่ หลังจากทำงานไปได้พักนึง สิ่งที่เจอคือ

  1. แต่ละ Product ใช้คนไม่เยอะ ทำให้มี Overhead ในการ Communicate น้อย สามารถปรับแก้อะไรได้เร็วดี แต่ว่าแต่ละคนก็จะมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบเยอะเหมือนกัน
  2. Mindset ในการทำงานเน้น Speed เป็นหลัก คือ Quality ก็ต้องอยู่ในระดับที่ดีประมาณนึง แต่เราจะเน้นไปที่การ Launch ให้เร็ว ให้ User ลองใช้แล้ว Feedback กลับมา เพราะสิ่งที่เราทำออกไป อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ User ต้องการจริง ๆ ก็ได้
  3. เราทำงานใกล้กับ PO, Marketing, Designer มากกก ใกล้แบบนั่งอยู่ด้วยกันตรงนั้นนั่นแหละ 55555 ทำให้เวลามี Requirement ที่ทำได้ยากแล้วน่าจะไม่คุ้มกับเวลาที่ใช้ เราสามารถคุย ต่อรอง อะไรได้เลย
  4. เวลา Standup meeting เราอัพเดทรวมกันหมดทุก Product ทำให้เราได้รู้ด้วยว่า Product อื่นกำลังทำอะไรอยู่ (แต่ก็แอบกินเวลาเยอะเหมือนกันปัจจุบันปรับเป็น Standup รวมแค่อาทิตย์ละ 2 วัน)
  5. มี Product Demo กันทุกอาทิตย์ว่า อาทิตย์นี้แต่ละ Product ทำอะไรไปบ้าง เป็นช่วงที่โชว์งานกันแล้วก็แชร์กันด้วยว่าเจอปัญหาอะไร แล้วแก้ปัญหากันยังไง
  6. การทำงานเป็นแบบ Work from anywhere คืออยากเข้าออฟฟิสก็ได้ อยากทำงานจากบ้าน จากคาเฟ่ จากอะไรก็แล้วแต่เรา แต่จะมีวันที่นัดกันไปเจอกันที่ออฟฟิสบ้างให้ทุกคนได้เจอกัน

บรรยากาศการทำงานไม่รู้สึกเหมือนทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ เลย แต่ละคนในทีมมี Authority ในการเสนอแล้วก็ตัดสินใจในงานที่ทำ แต่ละคนสนิทกัน แล้วก็บรรยากาศในการทำงานค่อนข้างชิลมาก จะเทียบกับบริษัท Start up ที่เคยทำมาก็ไม่เหมือนกันเท่าไร ที่นี่จะค่อนข้างมีความกดดันน้อยกว่าระดับนึง Work-life balance ค่อนข้างดี เหมือนเราอยู่ใน Sandbox ของ Series Startup ที่มีเงินทุน มีเวลา ให้เราได้ลองทำนู่นทำนี่

มีอยู่วันนึงตอนกลางวัน เดินลงมาจากตึกที่ SCB Park มาหาข้าวกลางวันกิน ก็ไปนั่งกินที่เรือนแม่มณี (SCB Foodcourt) กับพี่ ๆ ในทีม เห็น QR Code ไทยชนะแปะอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ก็คุยกันเล่น ๆ ว่า QR ที่โต๊ะนี่มันน่าจะใช้สั่งอาหารได้เลยเนอะ กลับมาจากกินข้าวปุ้บ พี่ในทีมขึ้น Figma ทำ User flow ในวันนั้นเลยแล้วส่งต่อให้น้อง Intern ที่มาช่วยดู Business เอาไป Test เลยว่า ถ้าทำอะไรแบบนี้ขึ้นมา จะมีคนสนใจมั้ย ยอมจ่ายรึเปล่า หลังจากคุยกับ User ประมาณนึงแล้วว่ามีร้านที่สนใจจะลองใช้ ก็ Code กันเร็ว ๆ วีคนึงแล้วเอาไป Test เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากกก เราทำงานกันใน Culture ที่เชื่อในการทำแล้ว Test มากกว่าการคุยกันไปเรื่อย ๆ บนหน้ากระดาษ เป็นเรื่องที่รู้สึกชอบมาก

ย้ายออฟฟิสจาก SCB Park มา FYI Center
ใส่ชุดครุยมาถ่ายรูปกับทีมช่วงรับปริญญา

SCB 10X กับ Hackathon

ทีม Venture builder เป็นทีมที่ทำ Product หลายตัว แล้วก็เน้นเรื่อง Speed เป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งเหมาะกับการจัดทีมไปแข่ง Hackathon มาก แล้วทีมเราก็ชอบเอางาน Hackathon มาแชร์กันในกลุ่มไลน์ แล้วก็ฟอร์มทีมไปแข่งจริง ๆ ด้วย ด้วยความที่ปกติเราทำ Product นึงก็ไม่ได้ใช้คนเยอะ เวลาไปแข่งทีก็จะจัดทีมกันค่อนข้างง่าย ทีมนึงมีแต่ละตำแหน่งละ 1–2 คนก็พร้อมแข่งละ ซึ่งไปแข่งทีก็มีตกรอบบ้าง ได้รางวัลบ้าง เป็นเรื่องปกติ งานไหนชนะก็ได้โอกาสเก็บพอร์ทเป็นของแถมไป 55555

นอกจากเราออกไปแข่ง Hackathon กันข้างนอกแล้ว เราก็มีจัด Hackathon เองด้วยเหมือนกัน เช่นงาน Blockathon ที่ทำใน Topic เรื่อง Blockchain เวลามีงาน Hackathon อะไรพวกนี้ นอกจากเราจะได้เห็นไอเดียหลาย ๆ อย่างแล้ว เรายังได้เจอคนเก่ง ๆ ด้วยเหมือนกัน ทั้ง Speaker ทั้งคนที่เข้าแข่ง (ท้ายงานจะชอบมีปาร์ตี้ด้วย แล้วที่ออฟฟิสจะชอบเล่นใหญ่มาก มี Bartender มาชงเครื่องดื่มให้อะไรงี้)

จัดทีมไปแข่ง Hackathon กัน
เป็นคนจัดแข่งเองด้วย

SCB 10X กับ DeFi

ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนกันยาได้ ทำงานมาแล้วประมาณ 3 เดือน ได้ลองจับงานไป 3 โปรเจคได้ แต่ยังไม่มีตัวไหนที่เกี่ยวกับ Crypto หรือ DeFi เลยนะ ช่วงนั้นมีพี่ที่ออฟฟิสนั่งอ่าน Paper ว่า AMM ทำงานยังไง, Lending protocol แต่ละตัวทำงานยังไง แล้วด้วยความนั่งทำงานอยู่ด้วยกันหมด ก็เลยได้ฟัง ๆ มาบ้างแล้วก็เกิดการชักชวนกันให้มาเล่น Crypto (ช่วงนั้นราคา ETH ประมาณ $300 เอง) ชวนกันไปทำฟาร์มบน Uniswap บ้างอะไรบ้าง เริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ ที่เล่นกัน ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นแทบทั้งออฟฟิสหันมาสนใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร มี Knowledge sharing session กันบ่อยมาก จนตอนนี้เรื่อง DeFi กลายเป็น 1 ใน Direction ของบริษัทไปแล้ว

ช่วงที่คนในออฟฟิสเริ่มมาเล่น DeFi กันเยอะขึ้น เราก็เริ่มมีกลุ่มแช็ทแยกออกมาจากเรื่องงาน ไว้คุยเรื่อง DeFi แชร์กันว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง, ใครไปเจออะไรน่าสนใจมาบ้าง หรือ ใครโดน Liquidated จากตัวไหนมาบ้าง 5555555 เป็นบรรยากาศที่สนุกดี แล้วก็ได้ความรู้ดีด้วย (รวมไปถึงได้ตังค์และเสียตังค์)

พื้นที่แห่งการแบ่งปัน ได้ Airdrop กันจริงด้วย 5555555

Alpha Finance Lab

ช่วงปลายปี ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วงเดือนตุลา ตอนนั้น SCB 10X มีการส่ง Software engineer ไปจอยกับทีม Alpha 2 คน 3 เดือน ซึ่งคนที่ส่งไปก็คือคนที่สนใจใน Product DeFi อะไรพวกนี้ (ตอนนั้นเรายังไม่ได้ไป) แล้วในทีมเราจะมี 1 on 1 กับ Head ทีมเพื่อ Feedback กันเรื่อย ๆ เราก็ไปคุยกับ Head ทีมมาว่าเราสนใจอยากลองทำ Product DeFi เหมือนกัน จนช่วงต้นเดือนมกรา Head ทีมก็มาคุยกับเราว่า 2 คนที่ไปจอยทีม Alpha จะกลับมาแล้ว เราสนใจไปจอยกับทีม Alpha มั้ย ก็ตัดสินใจว่าไป อยากไปเก็บสกิลเหมือนกันว่า Product ที่ TVL หลักร้อยล้านนี่เค้าทำงานกันยังไง ก็เลยได้ไปทำงานกับทีม Alpha 3 เดือน ตั้งแต่มกราไปถึงเมษา

ไปทำงานกับทีม Alpha มา 3 เดือน นอกจากได้ความรู้แบบแน่น ๆ ก็คือได้ความรู้สึกของการทำงานในบริษัท Start up กลับมา ทีม Alpha ทำงานกันหนักมากกก เป็นช่วงเวลาที่สนุกกับงานแหละ ทีมไม่ใหญ่ แต่ละคนสกิลแน่นมาก พอทำงานได้ซักพักเริ่มรู้สึกเหมือนย้ำคิดย้ำทำมากขึ้น แบบ..ทำงานใน Product ที่เกี่ยวกับเงินก็จะพยายามคิดเลข คิดมือ Cross check หาเหตุผลอะไรตลอด อาจจะเรียกว่ารอบคอบขึ้นกว่าเมื่อก่อนก็คงได้ล่ะมั้ง

วันที่ Launch Homora V2 วันแรกก็คือเดือดมาก ตีหนึ่งครึ่งคือยังไฟลุกกันอยู่ 🔥

ปัจจุบัน

ปัจจุบันคือกลับมาจากไปจอยทีม Alpha ได้เดือนนิด ๆ พอกลับมาแล้วรู้สึกได้ชัดขึ้นเลยว่าบรรยากาศการทำงานใน 10X มีความกดดันน้อยกว่าบริษัท Start up จริง ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่แย่อะไรนะ คือมัน Work-life balance ดีกว่าด้วยแหละ คิดว่าเรื่อง Pace การทำงานพวกนี้คือแล้วแต่คนชอบมากกว่า

ตอนแรกที่เราตั้ง Criteria ไว้ก่อนเข้ามา 10X มาจนถึงตอนนี้ เท่าที่มองย้อนไปก็คิดว่าไม่ได้เลือกผิดเลย อย่างเรื่องเงินเดือนนี่ก็แล้วแต่สกิลการต่อรองแหละ ที่ 10X ก็คือ Range กว้างมากกก ไปลองดูได้ที่ ลิงก์นี้ Software developer ทั้งสาย Fullstack ทั้งสาย Blockchain สนใจส่ง Resume มาได้ที่ join10x@scb10x.com ← ขายของหน่อย555555555555555

เรื่องได้เรียนรู้หลายอย่าง ก็ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะ ทั้งที่ลงมือทำเอง (Analytics, Data science, Blockchain, Smart contract, Infra, etc. เยอะมาก) แล้วก็ฟังเก็บ ๆ จากคนอื่นมา (งาน PO, ดีลกับลูกค้า, UX Research, VC, etc.) ด้วยความที่เราทำ Product หลายอย่างมาก รวมไปถึงใน 10X ก็ไม่ได้มีแค่ทีม Venture builder แต่ยังมีทีมที่ทำอย่างอื่นอีกหลาย ๆ อย่างด้วย ถ้ามองภาพรวมก็จะเห็นเป็นโครงสร้างของบริษัทใหญ่ที่มีหลาย ๆ แผนกให้เราได้เรียนรู้เหมือนกัน

เรื่อง Culture ของทีมที่เราทำงานอยู่ก็รู้สึกว่าเป็น Culture ที่เราสร้างกันขึ้นมาเองอะ หลาย ๆ อย่างก็เกิดจากการปรับมาเรื่อย ๆ จากที่เรา Feedback กันไป ลอง Vote ลองปรับกัน ทุกวันนี้คิดว่าลงตัวมาก ๆ แล้วคิดว่าถ้าเริ่มมีอะไรไม่ดี ทีมเราก็เอามาคุยกันแล้วปรับกันได้เลยอยู่ดี

สรุป

ไม่รู้จะสรุปยังไงเหมือนกัน 55555555 คือก็แฮปปี้กับการทำงานที่นี่อะ แบบ..อยากทำอะไรก็ได้ทำ ปัญหาน้อย ไม่มีดราม่า ไม่ได้อยู่กันแบบครอบครัว ทำงานแล้วได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เอาจริงคือเป็นที่เริ่มทำงานที่ดีนะ ถ้าสมมติว่าปั้น Product เองจนมีคนใช้เยอะ ๆ แล้วพร้อม Spin-off เป็นบริษัทออกไปได้ ก็อยากสร้างให้ได้ทีมกับ Culture แบบนี้เหมือนกัน

Work-life balance ดีที่แปลว่า อยู่กัน 5 ทุ่ม เที่ยงคืนเฮฮากัน
หรือบางทีก็ปิดดีลกับลูกค้าได้ตอนตี 1 เหมือนกัน 555555555555555555

--

--